วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2561

น้ำกระเจี้ยบ


ชื่อสมุนไพร        กระเจี้ยบแดง
ขื่อวิทยาศาสตร์  Hibiscus sabdariffa L.
ชื่อวงศ์                 MALVACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
       เป็นพืชสมุนไพรที่เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 3–6 ศอก ลำต้นและกิ่งก้านมีสีม่วงแดง ใบมีหลายแบบด้วยกัน ขอบใบเรียบ บางทีก็มีรอยหยักเว้า 3 หยัก สีของดอกเป็นสีชมพู ตรงกลางดอกมีสีเข้มมากกว่าขอบนอกของกลีบ กลีบดอกร่วงโรยไป กลีบรองดอกและกลีบเลี้ยงก็จะเจริญเติบโตขึ้นอีกเกิดเป็นสีม่วงแดงเข้มหุ้มเมล็ดเอาไว้ภายใน
       การขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดปลูก ควรปลูกในหน้าฝน พรวนดินก่อนปลูก ขุดหลุมปลูกหลุมละ 2-3 เมล็ด ระยะห่างของหลุมประมาณ ½-1 เมตร พอต้นอ่อนงอกออกมาแล้ว ให้ถอนต้นที่อ่อนแอกว่าออกไปเอาต้นที่แข็งแรงไว้ รดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน กำจัดวัชพืชออกให้หมด
คุณค่าทางโภชนาการของกระเจี๊ยบแดง
        ตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทยจากกองโภชนาการ กรมอนามัย แสดงคุณค่าทางโภชนการของใบกระเจี๊ยบในปริมาณ 100 กรัม ดังนี้
     พลังงาน 48 กิโลแคลอรี
     น้ำ                     87.9 กรัม
     โปรตีน              1.7 กรัม
     ไขมัน                0.1 กรัม
     คาร์โบไฮเดรต  10.1 กรัม
     ไฟเบอร์             1.3 กรัม
     เถ้า                    0.2 กรัม
     แคลเซียม          9 มิลลิกรัม
     ฟอสฟอรัส         4 มิลลิกรัม
     เหล็ก                 0.8 มิลลิกรัม
     ไทอะมีน            0.11 มิลลิกรัม
     ไรโบฟลาวิน      0.24 มิลลิกรัม
     ไนอะซิน            4.5 มิลลิกรัม
     วิตามินซี            44 มิลลิกรัม

วิธีทำน้ำกระเจี๊ยบ
       สำหรับส่วนผสมในการทำน้ำกระเจี๊ยบนั้นก็มีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น โดยจะเน้นดอกกระเจี๊ยบเป็นหลัก ซึ่งก็มีส่วนผสมที่ต้องเตรียมดังนี้
      1. ดอกกระเจี๊ยบแดง 150 กรัม (แบบสดหรือแห้งก็ได้)
      2. น้ำ 4 ถ้วย
      3. เกลือป่น ½ ช้อนชา
      4. น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
      5. น้ำแข็งก้อนเล็กหรือน้ำแข็งยูนิค
      6. กลีบดอกกระเจี๊ยบ (เอาไว้เพื่อตกแต่ง)
     วิธีทำ
     เมื่อเตรียมส่วนผสมเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็มาถึงขั้นตอนการทำแบบง่ายๆ กันเลย
            1. นำกระเจี๊ยบแดงที่เตรียมไว้มาล้างน้ำให้สะอาด ล้างทั้งดอกโดยไม่ต้องแกะกลีบออก จากนั้นนำใส่หม้อที่จะต้ม
            2. ใส่น้ำที่เตรียมไว้ประมาณ 4 ถ้วยลงในหม้อ จากนั้นนำไปตั้งไฟกลางๆ จนเดือด
            3. ลดไฟให้อ่อนลง จากนั้นต้มต่ออีกประมาณ 15-20 นาที จะได้น้ำกระเจี๊ยบสีแดงสวย น่าดื่มสุดๆ
            4. เมื่อน้ำกระเจี๊ยบได้ที่แล้ว ให้เติมน้ำตาลและเกลือลงไป จากนั้นต้มต่ออีกนิดเพื่อให้เกลือและน้ำตาลละลาย ได้รสชาติที่อร่อยกลมกล่อม น่ารับประทาน
            5. ปิดไฟ ยกหม้อ แล้วนำน้ำกระเจี๊ยบที่ได้มากรองอาแต่น้ำ ส่วนดอกกระเจี๊ยบให้ใส่ถ้วยเก็บไว้ อย่าพิ่งทิ้ง เพราะสามารถนำมาทานได้เช่นกัน
            6. ตั้งให้เย็น หรือจะรอให้อุ่นแล้วนำมาดื่มทันทีเลยก็ได้ หากได้ดื่มกับน้ำแข็งด้วยแล้ว จะให้ความรู้สึกสดชื่น ชุ่มคอ เหมาะกับช่วงหน้าร้อนที่สุดเลยทีเดียว
            7. หากใครอยากให้น้ำกระเจี๊ยบดูมีสีสันและน่าดื่มมากขึ้น ให้นำกลีบดอกกระเจี๊ยบที่เตรียมไว้ มาตกแต่ง

สรรพคุณและประโยชน์ของน้ำกระเจี๊ยบ
          1. มีส่วนช่วยในการบำรุงเลือด ซึ่งก็เหมาะกับผู้หญิงที่เลือดลมไม่ดี ประจำเดือนมาไม่ปกติหรือคนที่มีปัญหาภาวะโลหิตจางเป็นอย่างมาก
          2. ลดอาการไอและอาการเจ็บคอ โดยเฉพาะในคนที่เป็นไข้หวัด หรือคออักเสบ เป็นทอมซิน คอเป็นแผล รวมถึงคนที่เป็นวัณโรค
          3. อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง จึงสามารถแก้อาการเลือดออกตามไรฟันได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งยังช่วยเสริมวิตามิน ป้องกันโรคลักกะปิดลักกะเปิด และเสริมสร้างคอลลาแจน ให้ผิวดูเรียบเนียน ขาวกระจ่างใส
          4. บรรเทาและรักษาอาการต่อมลูกหมากโต ซึ่งมักจะเกิดในผู้ชายมากที่สุด แต่หากดื่มน้ำกระเจี๊ยบเป็นประจำควบคู่ไปกับการทานยาตามแพทย์สั่ง ก็สามารถแก้อาการได้ดีทีเดียว

อ้างอิง
https://health.kapook.com
https://www.samunpri.com
https://th.wikipedia.org/wiki
https://www.coffeefavour.com